มีพระสูตรที่อ้างอิงเกี่ยวกับความเบื่อ
สมัยหนึ่งพระพุทธองค์ได้นั่งประทับอยู่โดยลําพัง
เทวดามาทูลถามพระองค์ว่า
พระองค์นั้นไม่มีความทุกข์ พระองค์ไม่มีความเพลิน
พระองค์ประทับอยู่ผู้เดียว พระองค์ท่านรู้สึกเบื่อหน่ายบ้างไหม
พระองค์ตอบว่า
"ผู้มีความเพลินย่อมมีความทุกข์" นัยยะจะเป็นแบบนี้นะ
แต่ผู้ที่พ้นจากทุกข์ไม่ได้ เผชิญพัวพันอยู่ในทุกข์
ย่อมเกิดความเบื่อหน่าย
ผู้มีความเพลินย่อมประสบกับความทุกข์ในเหตุและผลเป็นแบบนี้
โดยสภาวธรรมเอาง่ายง่ายนะ ความเพลินคือตัวอภิชฌา
ที่แสวงหาการเติมเต็มให้กับชีวิต ตลอดเวลา
ตัวความเพลินมันไปเพ่งอารมณ์
มันปรารถนาอารมณ์ เมื่อได้แล้ว
สุขสมหวังหนึ่งใดปรากฏแล้ว มันมีความเพลิน
เมื่ออารมณ์อันเป็นที่ต้้งแห่งความสุขได้เปลี่ยนแปลงไป
เคลื่อนไป จากไป ทุกขเวทนาก็ปรากฏ
ทุกขเวทนาคือโทมนัส
อภิชฌาและโทมนัสได้ครอบงําจิตดวงนั้นแล้ว
ผู้มีความเพลินย่อมประสบทุกข์
เราทราบนะว่าความเพลินนั้นเกิดขึ้นนัยยะแบบไหน
มันจะจินตนาการความเพลินมา เพราะมันประกอบกับความคิด
ความเพลินกับปิติปราโมทย์ คนละอย่างกัน
"ปราโมทย์ปีติ" เป็นสภาวะที่ได้กระจ่างชัด
ได้อิสระจากอารมณ์ จากประสบการณ์ที่เคยรู้
เป็นสภาวะของปัจจุบันกาล ที่จิตไปตั้งอยู่
แต่เมื่อจิตประกอบกับความเพลิน
ให้สังเกตนะว่าจะประกอบกับความคิด
ประกอบกับการเพ่งในอารมณ์
จิตที่ประกอบด้วยความเพลิน ย่อมประสบทุกข์
จิตที่ประสบทุกข์แล้วย่อมเกิดความเบื่อหน่าย
บทสรุปคําตอบของพระองค์ท่านก็คือ
เมื่อพระองค์ท่านไม่มีความเพลิน พระองค์ท่านก็ไม่มีความทุกข์
เมื่อพระองค์ท่านไม่ทุกข์ พระองค์ท่านก็ไม่มีความเบื่อหน่าย
ขอเทวะท่านจงรู้แบบนี้
เห็นแบบนี้ เข้าใจแบบนี้
"ผู้มีความเพลินย่อมประสบทุกข์"
- ปิยทัสสี ภิกขุ -
Group Sitting 21-09-2025
เริ่มต้นเราเอาความรู้สึกที่ปลายลิ้นเป็นหลัก
ส่วนความรู้สึกที่ไปเชื่อมโยงกับกึ่งกลางสมอง
หรือความรู้สึก ณ จุดที่ฟันบนและล่างสัมผัสกัน
ก็รู้อยู่ แต่ไม่เพ่ง รู้แบบเผินๆ
จุดที่เพ่งเพียรนี่
เพ่งความรู้สึกที่จุดปลายลิ้น
เมื่อความคิดนึกไม่เกิด ไม่ผุดขึ้นมา
ก็ไม่มีการเทียบเคียง
ไม่มีจุดอ้างอิง ไม่มีกรอบ
เรียกว่าการรับรู้ที่ไม่มีกรอบ
ที่จิตฟุ้งซ่าน เพราะจิตคิดอยู่ในกรอบ จิตไม่มีสมาธิ
จิตเสพติดกรอบที่สมาทานในชีวิตประจําวันนะ
มันเสพคุ้น มันคุ้นเคย
กรอบของความเชื่อ กรอบของความรู้
กรอบของลัทธิศาสนาประเพณี
กรอบของความสัมพันธ์
จิตที่มีอวิชชาหลงเอากรอบเหล่านี้มาเป็นที่ตั้ง
มาปรุงแต่งว่ามีตัวตนอยู่ในความเชื่อในความสัมพันธ์
ในความสุขทุกข์ ในความรักชัง
เรียกว่าอยู่ในกรอบของตัวตน กรอบของความสัมพันธ์
สมาธินั้นคือจิตที่รับรู้ ที่อยู่นอกกรอบแล้ว
เป็นอิสระจากกรอบแล้ว
เมื่อใด ที่จิตมาเป็นหนึ่งเดียวกับปัจจุบันกาล
กับปัจจุบันขณะ
จะมีมั้ย ความเชื่อลัทธิศาสนา
ความสัมพันธ์รักชัง มันไม่มี
มีแต่ความรู้สึกที่เป็นอิสระ
ขณะนี้ เดี๋ยวนี้
"ความคิดในกรอบเป็นอุปสรรคปิดกั้นสมาธิ"
พระอาจารย์นาวี ปิยทัสสี
เพจผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมวัดถ้ำดอยโตน
Group Sitting 31-08-2025
- - - - - - -
อีกนัยยะหนึ่งคือ จิตไปพัวพันในโลกอนาคต
โลกอนาคต ก็คือการเติมเต็มให้กับตัวตนที่ยังพร่อง
หากมองย้อนไปในประสบการณ์อดีตที่ผ่านมา
มันไม่มีหรอกนะตัวตนที่สมบูรณ์
ที่ไม่อาศัยการเติมเต็ม
ที่มันทะยานไปข้างหน้า
มีความปรารถนามีความหวัง
นั่นคือกําลังเติมเต็มให้กับตัวตน
ที่ "ยังไม่เต็ม"
ปิยทัสสี ภิกขุ
Group Sitting 31-08-2025
https://youtu.be/ks5xPWJcboQ
"อธิษฐานได้ดังปรารถนาคือผู้สมบูรณ์ในสมาธิ"
..
ผู้ได้ฌานบางคนในโลกนี้มี ๔ จําพวก
ประเภทที่หนึ่ง เป็นผู้ฉลาดในการเข้าสมาธิ แต่ไม่ฉลาดในความเป็นผู้ฉลาดในสมาธิ
ก่อนที่จะไปถึงในอีกบุคคล ๓ ประเภท
เราต้องทําความเข้าใจ ฉลาดในการเข้าสมาธิและฉลาดในสมาธิ
คำว่าฉลาดคือเป็นผู้มีปัญญา กระจ่างชัดแจ่มแจ้ง
เราจะมีอุบายไหนบ้างที่จะไปเกื้อกูลในการเข้าสมาธิ
ให้เข้าสมาธิได้ง่าย ได้ดังปรารถนา
นี้คือการเป็นผู้รอบรู้ เป็นผู้มีทักษะ มีองค์ความรู้
ว่าจะเข้าสมาธิยังไงให้เข้าได้ง่ายที่สุดเร็วที่สุด
เรียกว่ามีทักษะ มีวสีมีความชํานาญ
อีกตัวนึงก็คือเป็นผู้ฉลาดในสมาธิ ปัญญามาอีกละ
ก่อนจะเข้าสมาธิก็ต้องเป็นผู้ฉลาด คือมีปัญญารู้อุบายวิธี
ที่จะเข้าถึงบรรลุถึงฌานจิต เมื่อเข้าไปอยู่ในฌานจิตแล้ว
ความฉลาดนี้ตัวปัญญาก็ยังตามไปอยู่
คือปัญญาที่เราได้อ่านในฌานสูตร
ที่พระองค์ท่านตรัสว่าบุคคลผู้ดํารงจิตอยู่ในรูปฌานทั้ง ๔
ย่อมเห็นซึ่งความเกิดความดับ เห็นความไม่เที่ยง
เห็นความแปรปรวนเห็นความเปลี่ยนแปลง
ในรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณก็คือในขันธ์ทั้ง ๕
ส่วนผู้ที่ดํารงจิตอยู่ในอรูปฌาน หรืออรูปสัญญา ๓ ขั้นเบื้องต้น
ย่อมเป็นผู้เห็นการเปลี่ยนแปลงเห็นความไม่เที่ยง
เห็นการเกิดดับของเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ก็คือขันธ์ทั้ง ๔
ซึ่งความฉลาดอันนี้ก็คือตัวปัญญา เราในฐานะเป็นผู้ปฏิบัตินะ
ได้ยินได้ฟังมามากในสื่อได้อ่านมามากจากตำหรับตํารา
คุรุอาจารย์รุ่นหลังนี่ถือว่าเป็น อรรถกถา
เราคงเคยได้ยินในโวหารหรือในคําที่มีผู้แสดงทัศนคติว่า
เมื่อจิตดํารงอยู่ในฌานจะไม่สามารถพิจารณากฎแห่งไตรลักษณ์ได้
จะต้องถอนจิตออกจากสมาธิออก จากฌานนั้นก่อน
อันนี้เป็นองค์ความรู้เป็นทัศนคติ เป็นความเห็นของของคุรุอาจารย์รุ่นหลังนี่เอง
แต่จริงแล้วพระพุทธองค์ท่านไม่ได้ตรัสแบบนั้นนะ
อยู่ในฌานจิตนั่นแหละย่อมเห็นซึ่งความเกิด เห็นซึ่งความดับ
เห็นความเป็นอนิจจังของขันธ์ทั้ง ๕
ไม่ต้องถอนจิตออกจากฌานจิต จากสมาธิเลยนะ
คำว่าฉลาด หมายถึงปัญญา เมื่อเข้าสมาธิแล้วถ้าเห็นซึ่งความเกิดความดับ
เห็นกฎแห่งความไม่เที่ยง เห็นกฏแห่งความเป็นอนิจจัง
ของไตรลักษณ์ในขันธ์ทั้ง ๕
ในขณะที่อยู่ในรูปฌานทั้ง ๔ นี้คือความเป็นผู้ฉลาดในสมาธิ
หรือเห็นการเกิดการดับเห็นการเปลี่ยนแปลงของขันทั้ง ๔
เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณ เมื่อจิตตั้งมั่นอยู่ในอรูปสัญญา ๓ ขั้นเบื้องต้น
ปิยทัสสี ภิกขุ
Group Sitting 17-08-2025
มนุษย์ - วิทยาศาสตร์ได้เจาะลึกไปถึงความไม่มีตัวตนของชีวิตของคน แท้ที่จริงมันไม่มีนะตัวตน องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ทางกายภาพการแพทย์ ได้เจาะลึกไปถึงโครงสร้างของเซลล์ของโมเลกุลของอะตอม เลยอะตอมเข้าไปอีก เป็นควาร์กเป็นโลกของควอนตัม อันมีแต่เพียงพลังงานที่เคลื่อนอยู่ เต้นอยู่ แดนซ์อยู่ ไม่มีสิ่งใดเลย เอ๊ะ ! ถ้าว่าองค์ความรู้ไปได้ถึงระดับนั้น แล้วทําไมมนุษย์ถึงยังแสวงหาสันติภาพไม่ได้องค์ความรู้เหล่านี้เป็นองค์ความรู้ที่ไม่ได้ผ่านทางจิตโดยตรงนะ แต่ผ่านทางเครื่องมือ เมื่อใดที่ออกจากห้องทดลองปุ๊บเนี่ย องค์ความรู้ว่ามีเพียงเซลล์ มีเพียงโมเลกุล มีเพียงอะตอม ก็ไม่มีอีกแล้ว องค์ความรู้เหล่านั้น การรับรู้แบบนั้นไม่มี แล้วมีอะไรมาแทนล่ะ ก็"ตัวฉัน"นี่ไง สายเลือดของฉัน ครอบครัวของฉันประเทศของฉัน นี่ไงจิตมันหมกมุ่นอยู่กับ pattern กับรูปแบบ กับโครงสร้างของตัวตน แน่นอนทีเดียว รูปแบบแบบนั้นได้นํามาซึ่งความกลัว ความหวั่นไหว ความขัดแย้ง และนี่ก็เป็นคําตอบว่า เอ๊ะ ! องค์ความรู้ของมนุษย์ไปลึกถึงระดับนั้น แล้วสันติภาพทําไมช่างห่างไกลเหลือเกิน องค์ความรู้ที่มนุษย์เข้าไปถึง มิได้ผ่านจากตัวจิตจากความรู้สึกโดยตรง พอออกจากห้องทดลอง ตัวฉันของฉัน ก็มาครอบงําหมดแล้วคนที่ภาวนาเป็นนะ เข้าไปเห็น เข้าไปสัมผัส กับความนิ่ง ความเบา กับสันติ สันติภาพจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อความรุนแรง ความขัดแย้ง การแบ่งแยก ความกลัว ความหวั่นไหวได้ยุติลงนะ ถ้ายังไม่ยุติ ความสงบสันติภายในจะเกิดขึ้นไม่ได้ -- ปิยทัสสี ภิกขุ --"วันเวลาที่เผ่าพันธ์มนุษย์เพรียกหาสันติภาพ"Group Sitting 03-08-2025ศูนย์วิปัสสนาวัดถ้ำดอยโตนเพจผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมวัดถ้ำดอยโตนhttps://youtu.be/fVb_Rs2odQk
ช่วงที่พระอาจารย์เข้ากรรมฐาน
ปฏิบัติส่วนตัว ๗ วัน
มีอุบายมาฝากผู้ปฏิบัติ
เป็นอุบายที่ทําให้ ระบบสมองและระบบจิต
เข้าไปสู่ความเป็นกลางได้เร็วนะ
แล้วโดยธรรมชาติจิตในโลกิยะ
จิตที่มีอวิชชาอยู่จะถูกตัณหาอุปาทานเข้าไปครอบงํา
คือ จิตนี่ถูกโปรแกรมด้วยด้วยเหตุแห่งทุกข์นะ
ด้วยแรงตัณหาอุปาทาน
ด้วยแรงปรารถนา ด้วยความกลัว ด้วยความกังวล
อันนํามาซึ่งความทุกข์ นํามาซึ่งความขัดแย้ง
นํามาซึ่งความสับสน
จิตมันถูกโปรแกรมโดยที่เราไม่รู้ตัวกันนะ
โดยที่ตัวจิตเองไม่รู้ตัวว่า
ทําไมไหลไปกับอารมณ์ที่พึงพอใจ
ไหลไปกับอารมณ์ที่ไม่พึงพอใจ
หมกมุ่นอยู่กับความกังวล กับความขัดแย้ง
เอ๊ะ มันมันทําไมถึงชอบหมกมุ่นอยู่อย่างนั้น
นั่นล่ะก็เรียกว่าถูกโปรแกรมแล้ว
เมื่อจิตถูกโปรแกรมกระบวนการของสมอง
คือกระบวนการความคิด
ก็จะตอบสนอง !
พระอาจารย์มีอุบายวิธีง่าย ๆ
เราจะรีเซ็ตให้ระบบสมอง
เข้าไปสู่ความเป็นกลางระหว่างธาตุคู่
รีเซ็ตจิตให้เข้าไปสู่ความเป็นกลางของธาตุคู่
ด้วยพลังเเห่งสัจจาธิษฐาน
หรือว่าพลังจากการอธิษฐาน
เป็นการโปรแกรมจิตใหม่
โดยการโปรแกรมแบบนี้
จะไปยกเลิกสิ่งที่จิตถูกโปรแกรมไว้ทั้งหมดเลย
-- ปิยทัสสี ภิกขุ --
ศูนย์วิปัสสนาวัดถ้ำดอยโตน
เพจผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมวัดถ้ำดอยโตน
Group Sitting 22-06-2025
เราจะทําดวงตาให้เห็นธรรมได้อย่างไร
ที่เราเคยได้ยินมาบ่อยบ่อย
ธรรมจักษุจะเข้าไปเห็นสภาวะ
เห็นธรรมคุณ ได้เห็นธรรมครั้งแรก เรียกว่าเป็นผู้เข้าสู่กระแส
เห็นธรรมก็คือเห็นพระนิพพาน เป็นโลกุตตระ
เห็นสภาวะที่ไม่ประกอบด้วยกาล
สักกายทิฏฐิความมีตัวตน
จะอิงรูปและนาม อิงขันธ์ทั้ง๕
เห็นความเกิดความดับความสืบต่อ
ของรูปและนามที่อิงเวลาอยู่
แต่เมื่อใดที่จิตของผู้ปฏิบัติมาสัมผัส
มาเข้าสู่กระแสแห่งการเกิดการดับ
ก็คือกระแสแห่งปัจจุบันกาล
เราไม่ลืมนะ
กระแสแห่งอดีตกาล อนาคตตกาล เป็นช่องทาง
เป็นกระแสที่ตัวตน ตัวปรุงแต่ง
จะอิงอดีตประสบการณ์เพื่อเติมเต็มให้กับตัวตนในอนาคตกาล
แต่เมื่อใดที่ผู้ปฏิบัติอาศัยอุบายองค์ความรู้
เพื่อเข้ามาอยู่กับปัจจุบันกาล
ลักษณะของตัวสักกายทิฐิ ตัวตน
อวิชชาตัณหา อุปาทาน จะไม่เกิดร่วม
เพราะไม่มีที่ตั้ง ไม่มีที่อิงอาศัย
แต่พอจิตเคลื่อนออกจากปัจจุบันกาล
ก็มาอีกแล้ว นี้เรียกว่ายังไม่สิ้นสุด
ยังไม่เป็นการตัดรอบ
การรู้การเห็นแบบนี้เป็นระดับปัญญา
มิใช่ระดับวิมุตติ
ส่วนการบรรลุถึงสภาวะโลกุตตระธรรม
ได้ดวงตาเห็นธรรม เข้าสู่กระแสนิพพาน
นั่นเป็นสภาวะที่ดับรอบ
ตัวสักกายทิฐิ ตัวร้อยรัดเบื้องต้นดับไป
ดับไปได้ยังไง เพราะอิงกาล
เมื่อเข้าไปถึงสภาะที่ไม่เกิดไม่ดับ
จิตก็เลยแจ่มแจ้ง
สภาวะที่อิงกาลเวลาที่ตัวตนอิงอยู่นี้
อิงอภิฌชาและโทมนัสที่ร้อยรัดจิต
ให้ติดอยู่ในอดีตกาล อนาคตกาล มันเป็นอย่างนี้
พอมาถึงจุดที่ว่าไม่มีสภาวะ
ความสืบต่อของกาลเวลา เป็นอกาลิโก
แล้วจะสงสัยมั้ย สงสัยกับตัวตนนี้ไหม ?
ถ้ายังไม่เห็นสภาวะที่การดับรอบของกาล ของตัวตน
คือดับรอบของรูปและนามของขันธ์
ก็จะแสวงหาตัวตนจากการเกิดการดับ
หยาบบ้างละเอียดบ้าง ปราณีตบ้าง
ตัวตนที่อิงกามสัญญาบ้าง รูปสัญญาบ้าง
อรูปตัวสัญญาบ้าง จะเป็นแบบนี้
นั่นคือนัยยะว่าที่ว่า
ผู้เข้าถึงกระแสของพระนิพพาน
ได้ดวงตาเห็นธรรม เข้าถึงโลกุตตระแล้ว
จึงเป็นผู้มั่นคงในพระรัตนตรัย
มีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยอย่างไม่หวั่นไหว
ไม่มีอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงจิตของบุคคลนั้นให้เป็นไปอย่างอื่น
ให้ไปเชื่ออย่างอื่น
ให้เห็นไปอย่างอื่น
สภาวะที่เกิดดับที่เนื่องด้วยกาล สิ้นสุดลงแล้ว
สภาวะที่ไม่เกิดไม่ดับ ก็ปรากฏแจ่มแจ้งเมื่อนั้น
ความสงสัยสงสัยดับสิ้นไปได้อย่างไรในนัยยะที่ว่า
เพราะไปเห็นสภาวะที่ไม่เกิดไม่ดับ
ตัวตนสักกายทิฏฐินั้นอิงอาศัยสภาวะที่เกิดดับ ที่เป็นกระแสมาตลอด
กระแสแห่งความเกิดดับจากความสืบต่อของรูปและนาม
หยาบบ้างละเอียดบ้าง
แต่พอมาถึงจุดๆนึง
กระแสนั้นสิ้นสุดลงไปเลย
แล้วก็เข้าไปสู่สภาวะที่ไม่เกิดไม่ดับก็คือกระแสพระนิพพาน
ผู้แรกเห็น
เรียกว่าโสดาบัน โสดาบันบุคคล