ก่อนหน้านี้บ้านปู่ไม่ได้มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรกเดิมที่ตรงนี้เป็นที่นาช่วงก่อนย้ายมาสร้างตรงปัจจุบัน ได้อยู่ใกล้ๆกับวัดใน หลักจากหมดหน้านา ก็จะมีช่วงเตรียมที่จะเริ่มทำนาใหม่ ช่วงเดือนหก บริเวณไหนใกล้น้ำก็จะเริ่มถ้าหญ้า วิดน้ำด้วยรหัส ชกมวย เตรียมตกกล้าไว้ก่อน โดยการทำที่ให้เตียน น้ำพอดินเปียกๆ แต่ก่อนที่จะหว่านกล้าได้นั้นต้องเพาะกล้าก่อน โดยการเอาข้าวที่แช่น้ำมาแล้ววางไปที่เสื่อลำแพน แบบแผ่ๆไป แล้วก็เอาใบตองมาบิดและเอาเสื่อมาปิดอีกหนึ่งชั้น หลังจากนั้นผ่านไป 1 คืนก็เปิดมารดน้ำทำแบบนั้นซ้ำๆ 3 คืน พอรากงอกแล้วก็กลับไปเตรียมทำนาต่อ ใช้ต้นกล้วยต้นโตๆผูกหัวท้ายลากไปกับนา ให้มันเรียบ จากนั้นก็เอากล้าที่ได้มา โดยทำให้มันร่วนๆก่อนเพราะตอนแรกมันติดกัน และก็เอาไปหว่านนาที่เตรียมเอาไว้ ย่าไม่ใช้คนหว่านย่าเป็นลูกมือคอยช่วยชวดอีกที พอได้ 2-4 สัปดาห์ ก็พร้อมที่จะเข้าสู่ขั้นตอนการดำนาต่อไปแล้ว ก่อนที่จะดำนาได้ ก็ต้องรอให้ฝนลงก่อนถึงจะไถนาได้ การไถนาก็เหมือนกับการพรวนดินและกำจัดหญ้า การไถเหมือนจะง่ายแต่จริงๆก็มีไหลอยู่ขั้นตอน ตอนแรกเขาเรียกกันว่าไถดะ ไถเพื่อให้หญ้าคว่ำลง และต่อด้วยการไถแปร ที่หมายถึงการไถอีกแนวนึง จากนั้นก็ไถคราก เพื่อเอาเศษหญ้าออกจากนาจนหมด โดยขี้หญ้าจะไปอยู่ข้างคันนา เสร็จแล้วก็จะเอาเศษหญ้าไปไว้ที่หัวคันนา มีควายอยู่ตัวนึงที่ย่าใช้ไถนา พอเสียงกลองดังจากวัดที่คอยบอกว่าถึงเวลาเพน ดังขึ้นควายตัวนั้นก็เดินออกจากคันนาทันที ไอควายตัวนี้พอถึงเวลาก็เลิกเลย ในช่วงเลิกก็ต้องล้างอุปกรณ์ก่อนจะกลับบ้านได้ โดยใช้น้ำจากนานั้นแหละ พอเสร็จเรื่องก็มาเลี้ยงควายนั่งดูควาย หลังจากนาพร้อมปลูกแล้ว ก็ถอนกล้าที่พร้อมปลูก ขึ้นมามัดเป้นกำๆ ตัดให้สั้น และหอบไปดำนาและดำได้ง่ายในจุดที่พร้อมแล้ว การนำนานั้นไม่ได้ทำคนเดียวเพราะเป็นงานที่เหนื่อยมาก จึงจ้างคนมาช่วยทำนา โดยจะจ้างเท่าไหร่นั้นเขานั้นวัดเป็นงานๆ มีไม้ที่ยาวประมาณ1วา วัดให้ได้ 4 วา ก็จะได้1 งาน หากมี 4 งานก็จะเรียกรวมได้ว่า 1 ไร หลังจากดำนาแล้วหากมีหญ้าขึ้นก็ต้องไปจัดการ โดยการถอน และเหยียบมันให้จบดิน เขาเรียกว่าดายหญ้า หากไม่ทำ เข้าก็จะโตไม่ทัน การดายหญ้าเหมือนจะง่ายแต่จริงๆ ก็ต้องระวังไปโดนข้าว อีกทั้งใบข้าวก็จะทิ่มหน้าเราเวลาก้มไปจัดการกับต้นหญ้าที่ขึ้นมา จากจากหญ้าไม่ขึ้นแล้ว ก็เริ่มใส่ปุ๋ย โดยการหว่านไปเรื่อยๆ หากตรงไหวหว่านไปแล้วก็จะเอาไปปักไว้เพื่อให้รู้ หลังจากนั้นก็รอให้ข้าวโต คอยดูว่าตรงไหนดูอ่อนแอ ก็จะเอาปุ๋ยไปเติม พอถึงเดือน 10-12 ข้าวเริ่มสูงมากแล้วใบต้นข้าวเริ่มสั้น เป็นหางปลาทู จากก่อนหน้านี้ที่จะยาว หมายถึงข้าวจะเริ่มออกรวงแล้ว ชาวนาเขาจะเรียกกันว่า ข้าวเริ่มแต่งตัว พอออกรวงมาทั้งที่หน้าจะดูขาวไปหมด พอใกล้ๆจะปีใหม่รวงจะใหญ่เหลืองอร่าม ข้าวเริ่มก้มหน้าลงเพราะความหนักของรวงที่ใหญ่ใกล้พร้อมจะเก็บเกี่ยว เรียกว่าข้าวนำ้นม พอปีใหม่สีข้าวเริ่มได้ก็เริ่มเกี่ยว ลงแขก ช่วยกันเกี่ยวข้าว
คนสมัยย่าเขาไม่เรียกเดือนตามสากลแต่จะเรียกตามหลักปฏิทินไทย ซึ่งลักษณะเดือนก็จะคร่อมกันอยู่ ย่าก็ไม่รู้ที่มาว่าทำไมเขาเรียกกันแบบนี้ แต่ก็เรียกตามๆกันมาจนติดปาก โดยเขาจะเรียกเป็นเลข เช่นเดือน1 เดือน2 ไล่กันไป พอเข้าสู่ช่วงฤดูร้อน ก็เป็นช่วงเวลาแห่งผลไม้ที่ต่างพากันออกผลในช่วงนี้ ในเมื่อก่อน เป็นเรื่องยาก ที่จะหาผลไม้นอกฤดูกาลกินได้ หากข้าวออกดอก หรือข้าวแต่งตัว มะม่วงก็เริ่มออกดอกออกช่อ พอเกี่ยวข้าวกันเสร็จ มะม่วงก็เริ่มจะมีลูกเล็กๆ มาให้เห็นแล้ว ซึ่งมะม่วงที่ออกมาแต่ละทีนั้น เยอะมากเยอะจนกินไม่หมด บางทีก็หล่นเพราะลมพายุ มะม่วงที่ตกมาก่อนที่ลูกจะใหญ่นั้นเขาไม่นิยมมาทำกินกับข้าวเหนียวมะม่วง คนในสมัยนั้น จึงทำมะม่วงกวน ที่ถือว่าเป็นการถนอมอาหารอีกแบบ ที่ให้รสที่หวานอร่อยเต็มไปด้วยพลังงานจากธรรมชาติที่ไม่ได้ผ่านการสกัดทางเคมี ต่อจะมะม่วงออก มะไฟก็ตามมา ต่อด้วย มะยงชิด มะปราง ลิ้นจี่ ขนุน พอปลายๆก็เป็นช่วงของทุเรียนลากยาวไปประมาณ 3 เดือน พอหมดช่วงนี้ก็จะหมดเลย แต่ในปัจจุบัน ความ ก้าวหน้าทางการเกษตรพัฒนามากขึ้นจึงทำให้คนอย่างเราเรา มีผลไม้ที่หลากกิน ในช่วงนอกฤดูมากขึ้น สวนทุเรียน บ้านเราเคยมี ความยากของการปลูกทุเรียนในภาคกลางคือ มันแพ้น้ำท่วมหากเจอน้ำท่วมมันก็แทบจะไม่รอด ถือเป็น ความท้าทายของคนภาคกลาง เพราะว่าพื้นที่ภาคกลางในสมัยก่อนนั้น มีน้ำท่วมทุกปี ย่าเล่าให้ฟังว่ามีสวนทุเรียน หนึ่งทำคันดินกั้นน้ำไว้ แต่คันดินแตก น้ำไหลเข้าสวนทุเรียน แต่ก็ได้ทำการแก้ไข โดยทำคันดินใหม่และวิดน้ำออก ต้นที่แก่ๆ ก็พอรอด แต่ต้นหนุ่มๆนั้น ไม่เหลือ ผัดกระเพราไม่ค่อยฮิตในสมัยย่า ส่วนมากนิยมทำแกงกินกันเอง หนึ่งหม้อก็กินกันทั้งบ้าน กว่าย่าจะมาได้รู้จักกับกระเพราก็เป็นช่วงหลังๆ แล้ว กว่าจะได้กินแกงทั้งที ก็ต้องรอให้ถึงวันพระ เพราะว่า แม่ของย่า เขาทำแกงไปทำบุญ แล้วก็แบ่งมาให้ลูกๆกิน พระสมัยนั้นยังมีบางท่านที่กินเหล้า ย่าก็เคยได้ด่าไป 1 ฉอด ด้วยความที่อายุยังไม่เยอะก็เลยไม่ได้คิดอะไร
โรงผี.. ในเด็กๆ ย่าชอบไปเล่นที่วัดใน ที่ใต้ศาลานั้นจะมีโรงหลังจากใส่คนตายเก็บไว้ เขาเรียกว่าโรงผี ที่ยังมีโรงอยู่เพราะว่าสมัยนั้นเขาไม่เผาโรงกัน บ้านใครต่อเองได้ก็จะช่วยกันต่อ หากไม่มี วัดก็จะหามาให้ ในวันที่แม่ยาเสีย ป้าจงป้าของย่า ตอนนั้นอยู่ที่สีกัน พ่อของป้าจงก็ไปตามกลับมาหลังจาก กลับมา ก็เห็นคนต่อโรงกัน ตอนนั้นใจก็เริ่มไม่ดี คนที่บ้านก็เยอะขึ้น ตอนแรกป้าเขาคิดว่าพ่อของย่าเสีย เขาเลยไปหาแต่ก็ยังเจอพ่ออยู่ จึงขึ้นไปบนบ้าน ก็ได้เห็นแม่ของย่านอนนิ่งไปแล้ว ในจังหวะที่เห็นตอนระหว่างขึ้นบรรได ป้าจงก็เกือบจะล้มตกบรรไดด้วยความใจหายเสียใจ แต่ยังดีที่มีคนตามหลังคอยจับเอาไว้ เพราะป้าจงกับแม่ของย่าสนิดกันเป็นที่หยอกล้อกัน ป้าจงจึงเสียใจมาก ในตอนนั้นย่าอายุเพียงแค่ 14 เท่านั้น ณ ในตอนที่แม่กำลังจะเสีย แม่เขาอาการดูไม่คอยดี ย่าจึงรีบวิ่งไปตามหาหมอชม เป็นหมอโบราณ กว่าเขาจะมาถึง แม่ของย่าก็จากไปเสียแล้ว ย่าเล่าว่าตอนนั้นย่าร้องแทบตาย ไอแดง ลูกคนสุดท้ายของแม่ ย่าก็คอยเลียดู แต่ตอนนั้นแดงมีฝีขึ้นที่หน้า ก็ได้ไปหาหมอชม ช่วยพ่นยาท่องคาถา แต่ก็ยังไม่หาย จึงได้ไปต่อที่คลองอ้อม บ้านลุงพุก เป็นญาติทางพ่อ เดินแบกแดงไปอย่างลำบาก ในตอนนั้นแทบไม่มีอะไร กระเป๋าก็ไม่มี ต้องถือขวดนมไป ตอนนั้นแดง อายุเพียงแค่ 7-8 เดือนเท่านั้น เดินไปต่อรถไป ก็ได้ไปถึงหมอ ตอนนั้นย่ารู้จักแต่หมอโบราณยังไม่ได้รู้จักกับหมอจริงมากนั้น หมอโบราณก็ให้เครื่อง มาทำพิธีการรักษา ตามขั้นตอน และได้กลับมาทำต่อกันเองที่บ้านตามที่หอมโบราณแนะนำตามสูตร ตามความเชื่อ จนแผลค่อยๆ แห้งลงและหายไป ย้อนกลับไปทุ่งสีกันไม่ได้เจริญอย่างทุกวันนี้ บริเวณนั้นล้วนมีแต่ทุ่งนาราบเรียบไป มองไกลๆก็ยังเห็นสนามบิน.. สีข้าว บ้านป้าจงที่ทุ่งสีกัน มีที่สำหรับสีข้าวด้วย โดยใช้แรงคน จากรวงข้าว ทำให้เป็นข้าวเปลือง แล้วก็เอามือฟัดๆ จากกระดง ทำๆวนไปใจใช้ได้ แต่การสีแบบนี้ เปลือกยังออกได้ไม่หมด เขาก็ใช้วิธีแยกออก ข้าวจะไม่ขาวมากเหมือนจากโรงสี เนือข้าวจะออกเป็นสีเหลืองๆ หน่อย สิ่งที่เหลือจากการสี ก็คือเปลือกข้าว ที่เขาเรียกกันว่าแกลบ ชาวบ้านสามารถนำมาใช้ต่อได้อีก โดยการ นำมาขัดหม้อได้ หรือแม้กระทั่งแช่น้ำแข็ง แต่จพต้องใช้แกรบจากโรงสี เพราะว่าละเอียด เก็บความเย็นได้ดีกว่า ก่อนเริ่มจะทำนา ก็ต้องรอฝนก่อน ถึงจะเริ่มทำนาได้ ถึงว่ามีแร้ง ฝนตกน้อย แต่หากฝนตกมา ข้าวก็จะอยู่ได้ เดือน6 ฝนจะตก ย่าจำได้แม่น พอใกล้ถึงช่วงปีใหม่ ข้าวก็เริ่มจะได้แล้ว
อดทำก๋วยเตี๋ยวเพราะไม่มีเส้น ความเป็นมาวัดหลวงพ่อโสธรในสมัยก่อน เป็นเรื่องเล่าที่ย่ารับฟังต่อกันมา ว่ากันว่ามีประพุธรูป 3 องค์ ลอยทวนน้ำมาแล้วไปจมตรงบริเวณวัด จึงเป็นที่มาของคลอง 3 ประทวน 2 องค์แรกหลังจากได้นำขึ้นมาแล้วได้ไปอยู่ที่วัดบ้านแหลม กับวัดไร่ขิง ส่วงองค์สุดท้าย ยกไม่ขึ้น จึงต้องทำพิธีก่อนจึงจะยกขึ้นมาได้องค์นั้นเรียกว่าหลวงพ่อโสธร โดยพระทั้งหมดนั้น ทำมาจากทองคำ สมัยก่อนวัดหลวงพ่อโสธรนั้น ยังเป็นที่นาโล่งๆ ไม่มีอะไร ย่าได้ไปกับป๋าเฮงคนรู้จัก ขับเรือกันไประหว่างทางเจอเป็ดเต็มไปหมดรวมถึงไข่ ชาวนาชาวสวนชอบมาไหว้มาขอพร สมัยนั้นยังไม่มีอะไรมีแค่ย่าแฝกมามุงไว้ คิดว่ายังไม่ได้เรียกว่าวัดอะไรเลย ย่าว่า หลังจากนั้นก็ได้มีการสร้างโบสถ์ ให้ผู้คนได้มาปิดทองกัน โดนองค์หลวงพ่อนั้นตัวนุ่มนิ่ม เนื่องจากมีคนมาแปะทองเยอะมาก แต่ในปัจจุบัน ก็ได้มีการปรับปรุงซ่อมแซม จนไม่ได้เห็นเป็นองค์จริงแล้ว ย่าเคยไปทันตอนที่เขากำลังปรับปรุง เขาได้เอาสังกะสีกั้นไว้เต็มไปหมดและได้เอาผ้าเหลืองไว้ ในขณะที่เขากำลังสร้างโบสถ์และได้ไปแอบดู ย่าเล่าเขาได้สร้างโบสถ์ไว้ตรงกลาง และได้ทำองค์ใหม่ครอบองค์เดิมไป **เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ย่าจำมา ไม่ได้มีการยืนยันไดๆทั้งสิ้น** แกงเรียงแกงโบราณ ผัดหนูปลอมๆ จริงๆก็คือการนำปลาดุกมาผัดแบบเดียวกับผัดหนู ดูแล้วแยกแทบไม่บอก ปูนาเวลาแดดร้อนพวกปูก็จะหลบเข้าข้างคันนากัน พ่อเราเดินไปมันก็จะหนี จังหวะนั้นก็จับใส่กระป๋องไว้ เพื่อนนำมาผัดกินกัน ย่าว่ากินปูนามากไม่ดีมันจะเอียน มันจะจุกท้อง หน่อกะลานำมาผัดกิน ที่น่าวัดไน ย่าไปตัดมากผัดกินกับกากหมูที่เอามาจากยายธร ที่สวนคนตาแถวบ้าน นำก็กินที่ท้องร่อง เพราะว่ามันใสดิ๊ก ถามว่าทำไปไปกินตรงนั้น ย่าตอบกลับมาว่ามันสนุกดี คลองบางรัก ติดอยู่กับวัดบางแพรก ย่าว่าน้ำมันใสใสใสจริงๆ พอเดินเหนื่อยก็มานั่งที่ศาลา มาจากไหน.. คนพื้นที่ที่อยู่ใกล้ๆ ได้ถามย่า มาจากปากเกร็ดค่ะ ญาติอยู่ที่นี่ พ่อชื่อพ่ออ่องรู้จักไหม โอ้เอ็งลูกพ่ออ่องหรออ คนนั้นลูกจักพ่อของย่า เพราะเขาโตมาที่นี่จึงได้นั่งคุยกันสักครู่ และย่าก็บอกลุงว่าคลองนี่ อีกหน่อยน้ำมันจะเน่า.. หลายสิบปี ก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะคนมาอยู่มาก หมู่บ้านเยอะมากต่างพากันทิ้งน้ำเสียลงคลอง ไม่แปลกใจเลย ที่ว่าเพราะอะไรมันถึงเน่า ผ่านจากกลับไปเทียวงานวันกับคนชื่อรวยกับอีกคน ก็ได้เดินทางกลับทางเรือ ระหว่างทางกลับ รวยปวดขี้ ก็เลยขอแวะจัดการที่กอเตย ระหว่างทางกลับ เขาก็บอกว่าง่วงมากเลยขอไม่ช่วยพายเรือนะ พอกลับมาถึงบ้าน ก็ได้นอนแน่นิ่งไปแล้ว กว่าจะมารู้ว่าเป็นอะไรก็ตอนเช้า เพราะไปดูตรงที่กอเตย ก็เจองูเห่าตัวใหญ่เฝ้าไข่อยู่ แล้วก็มีอีกคนเพื่อนนักเรียนกับย่า ก็เกิดเรื่องคลายๆกัน สมัยก่อนน่ากลัวมาก หากขี้โดยที่ดูไม่ดีก็ถึงตายได้
ทุกๆครั้งหลังจากกดูรายการทีวีในช่อง workpoint ย่าก็ชอบนำเรื่องราวที่น่าสงสารมาเล่าให้เราฟัง ในรอบนี้เป็นในเรื่องของคนพิการทางขาที่ต้องการนำเงินรางวัลไปใช้หนีที่คุณพ่อของเขายืมมาเพื่อใช้ซื้อขาเทียมที่ดีกว่าเดิม เพราะว่าอันเก่า ใส่แล้วมันเสียดสีกับเนื้อ... ชลประทานในสมัยย่านั่น มีตลาดน้ำที่มีลักษณะคล้ายอ่าวขนาดใหญ่ที่คนในพื้นที่บริเวณนั้น และเหล่าแม่ค้าพายเรือเข้ามาขายกันเยอะมีทั้งเรือเล็กเรือใหญ่ นำของมาขายกันมากหน้าหลายตา โดยการซื้อขายก็จะเกินขึ้นบนเรือเลย ย่าก็เคยไป โดยการไปของย่านั้น เดินทางโดยการพายเรือไป ออกจากคลองสุ่แม่น้ำเจ้าพระยา ในบางช่วง หน้าออกพรรษา น้ำนั้นเชี่ยวมาก บางครั้งต้องพายเรือข้ามไปอีกฝั่งนึงเพื่อให้พายไปได้ โดยช่วยกันพายไปกับป้าอีกหนึ่งคน และก่อนถึงก็จะเจอปากอ่าว เป็นอีกจุดที่น้ำเชียวเหมือนกัน และในใต้นั้นก็จะมีสิ่งที่เรียกว่าโพรงพรางอยู่ ไว้สำหรับดักสิ่งต่างๆที่จมน้ำ หลักจากซื้อของที่ตลาดน้ำเสร็จก้ แวะข้ามไปขายของที่วัดตำหนัก ตอนนั้นซื้อปูเค็มมาขาย ช่วงนั้นเป็นงานประจำปี ส่วนมากน้ำจะท่วม ก็สามารถพายเรือเข้าไปขายที่ลาดวัดได้เลย โดยจากนั้นก็กลับผ่านเส้นทางคลองบางพูด ในระหว่างทางกลับ ก็มีคนคอยเรียกแวะซื้อปูเค็มระหว่างทาง เป็นระยะระยะ ป้าคนนั้นชื่อยายธร เป็นพี่สาวของแม่ย่า พอมีอะไรจะไปไหนต่อไหน ยายธรก็จะเรียกย่าเสมอ เวลาไปไหนย่าก็ไปทุกเที่ยว หลังๆย่าก็ไปกับยายธรทุกครั้งโดยไม่ต้องมีคำกล่าวชวนแล้ว สมัยนั้นคำว่าเวลาเป็นสิ่งที่เป็นจับต้องไม่ได้อยู่ไม่มีนาฬิกา จึงเป็นเรื่องน่าแปลกที่คนตอนนั้นเขารู้เวลาอย่างไร ส่วนให้ก็จะดูเวลาจากท้องฟ้า มึดก็เลิกไม่มีอะไรตายตัวหรือก็ฟังเสียงระฆังจากวัด ในตอนที่ไปตลาดน้ำ ก็ต้องมีแวะกินข้าว ย่าพาไม่ชอบกิน ข้าวบนเรือ เลยขอยายธรไปกินบนฝั่ง ส่วนยายก็นั่งกินในเรือ.. หน้าบ้านเราก็มีคลองเลยถามว่าคือคลองอะไรก็ได้รู้ว่า คือคลองโพธิ์ คนในสมัยนั้นนิยมอย่างมากที่อาศักที่ริมคลอง บางช่วงคลองก็จะมีคนอยู่เยอะมากเป็นช่วงๆ แต่ช่วงที่เยอะๆหน่อยก็จะเป็นทางออกไปสู่แม่น้ำ
สมัยนี้หาตกปลายากกว่าสมัยก่อน ในตอนนั้นใช้ไม้ไผ่เป็นคันเบ็ดผูกกับเชือกและตะขอตกปลาที่เกี่ยวใส้เดือนเอาไว้ ในตอนั้นย่าตกเดินตกไปเรื่อย ปลาตอนนั้นเยอะมาก ปลาจุ๊บจับๆ พอเจอปลาก็เพียงแค่หย่อนเบ็ดลงไป ไม่นานปลาก็มากินแล้ว ยายเฉี่อยคนที่ไปหาปลากับย่า ตกปลาช่อนมา แล้วก็เอามาเผา แต่ก่อนเผา เขาเอาดินมาพอกก่อนเพื่อจะได้ไม่ไหม้ และก็หางวงตาลมาวางกองๆไว้ ย่าว่าทำแบบนี้เนื้อปลาหวานมาก
สมัยนั้นแถวบ้านก็จะเป็นที่นาโล่งๆ ไม่ค่อยมีป่า ถ้าจะมีป่าเขาเรียกว่าป่าละเมาะ เพื่อนพื้นที่ที่มีต้นไม้ขึ้นเยอะๆ แจ่ไม่ถึงกับว่าน่ากลัว ในบางทีหลังจากหาปลา ก็ไปปิ้งที่กระต๊อบกลางนาของคนที่รู้จัก หาไม้มาเสียบปิ้งปลา เอาสนุก กับยายหวี แถมตรงนั้นมีน้ำปลาจากพ่อป้าจงด้วย ในระหว่างกินนอนเล่น คนชื่อทอง ได้เข้ามาทักว่าทำไมไม่ได้กลับบ้านกัน... แถวนี้เป็นนามองได้สุดสายตา ป่าส่สนมากก็จะเป็นต้นกระทุ่ม
ออกหากุ้งในช่วงหน้าน้ำมา ใช้เชือกกุ้งกับหอยโข่งเท่านั้น ช่วงเช้าก็ไปวางเหยื่อ
รอมึดๆ ก็พายเรือถือตะเกียงไปจับกุ้งกันโดยแบ่งหน้าที่คนพายกับคนจับกับป้าจง ย่ายังเล่าต่ออีกว่าเอาของมาดักกุ้งได้เยอะมาก จนมีคนมาขอซื้อ แต่ก็เหลือไว้ทำก๋วยเตี๋ยวไว้กินบ้าง เงิน1ในตอนนั้นถือว่ามีมูลค่ามาก จึงมีรูปแบบเป็นธนบัตร และเหรียญสตางค์ ก็ใหญ่กว่าที่เป็นอยู่มาก เหรียญ10 สตางค์ 5 สตางค์ ก็ยังมี
หมาที่บ้าน เมื่อก่อน ไม่ได้กินแบบนี้ ได้กินแค่น้ำข้าว ใส่ข้าว ใส่เกลือ กินกันพร๊อกๆ จนหมด แต่ก็อยู่ได้ มีตัวนึงชื่อดักเค เป็นหมาที่ฉลาด คอยคาบลูกมะพร้าวที่สวนมาให้ ฝืนที่ทำไวในสวน ก็ช่วยคาบมาให้ ไอเต้ยหมาที่สู้กับงูเหาจนตัวตาย ตอนย่ายังเด็กนั้นน้ำท่วมถือว่าเป็นเรื่องปกติเพราะมันท่วมทุกปี ดอกแคร์ หมาที่ชอบรอตานวมที่หัวถนน เพราะเขาชอบให้ลูกชิ้นมัน พอเย็นตอนตานวมเดินกลับ มันก็เดินไปส่ง
ปลากระป๋องมีหลายตัวย่าพาก็มียี่ห้ออยู่ในใจ ในสมัยย่า ในเมื่อก่อนนั้นก็ได้มีปลากระป๋องแล้วแต่ไม่ได้อร่อยเหมือนทุกวันนี้ เมื่อก่อนปลาจะไม่ตัดหัว จะเอาแค่ใส้ออก ซื้อมาก็ไม่ได้กินเลย ต้องมายำก่อนเพื่อเพิ่มปริมาณให้กินได้เยอะขึ้น พ่อของย่านั้นหลังจากทำนาเสร็จพอก็ชอบเดินดูชมน่าว่ามีอะไรที่ต้องแก้ไขไหม ถือเป็นสิ่งที่หากินในตอนหน้าแร้ง เนื่องจากหาปลาไม่ค่อยได้
ปลาก้าง เป็นปลาที่คนโบราณเขาไม่กินกันเพราะมีความเชื่อที่ว่ากินแล้วหัวสั่น บางช่วงย่าพา ก็ไปหาปลากับเพื่อนๆ แกล้งกันกับเพื่อนบ้าง ตามประสาเด็กๆ แอบโยนปลาให้เพื่อน แล้วเพื่อนก็ดีใจว่ามีปลาโดนมา ย่าพากับเพื่อนอีกคนแบบขำเบาๆ อยู่หลังพุ่มไม้ ในช่วงที่ย่าพาเรียก เขาเรียนไม่จบเนื่องจาก ไม่ได้ไปโรงเรียน เหตุเพราะต้องไปเลี้ยงน้อง จนครูเห็นใจ ครูจึงให้หยุดเรียนแต่ก็จะให้ใบจบ เนื่องจากในช่วงนั้นเขาบังคับให้เรียนหนังสือ ย่าก็ยังจำชื่อครูได้หลายคนมาก การสอนของครูตอนนั้น จะสอนตามนักเรียกขึ้นไป ไม่ได้แบ่งระดับชั้น โรงเรียนตอนนั้นก็จะอยู่ที่วัด ให้เรียนที่ศาลา นั่งเรียนกับพื้น ไม่ได้มีห้องแบ่งชัดเจน เหล่านักเรียนตอนั้นยังไม่ได้ใช้สมุดอย่างแพร่หลาย เขียนโดยใช้กระดานกับช็อกที่เป็นสีขาว ในตอนนั้นยังไม่มีไฟฟ้าเขาถึง แต่ย่าไม่ได้บ่นถึงเรื่องร้อนเลย หลังจากโรงเรียนที่วัดในสร้างเสร็จ ย่าก็ย้ายมาเรียน โดยมีห้องแบ่งๆแล้ว ครู่ในสมัยก่อนนั้นดุกว่าตอนนี้มากจะลงโทษด้วยการตี หากเด็กดื้อ แน่นอนต้องมีคนไม่พอใจอยู่บ้างมีเกิดการว่าจะพ่อแม่บ้าง หลังๆครูเลยไม่ได้ตีนักเรียนมากนัก
ต่อจากตอนก่อนหน้าย่าก็ได้เห็นรถม้า ที่ถูกตีให้เดินแล้วจึงสู้สึกสงสารจับใจเลยได้มาเปรียบเทียบว่า แล้วอย่างควายที่มาใช้ในการไถนาไม่สงสารหรอ ย่าพาจึงได้นำเรื่องการไถนามาเล่าให้ฟัง ว่าการไถนานั้นทำไปเพื่ออะไร มีการไถกี่แบบ ไถดะ คือไถเบื้องต้น ไถครากการไถโดยใช้แปรเพื่อ ไถลากหญ้าออกจากนาเพื่อลากไปอยู่ที่คันนา โดยไม้ที่นิยมนำมาใช้คือไม้ของต้นมะขามเทศ ที่มีลักษณะเป็นแง่ง หรือคนเขาเรียกกันว่าหัวหมู ควายมีหน้าที่หลักๆ อยู่สองอย่างคือ ไถนา และนวดข้าว ซึ่งช่างแปลกใจในการนวนนั้น ควายมันเดินได้ของมันเองไม่ต้องมีคนไปคอยกำกับมัน หลังจากนั้น ควายก็ว่างงานของมันแล้ว
ใบตองเป็นของที่ย่าคุ้นมือมาก เพราะต้องใช้ใบตอง ทำข้าวต้มมัดทำขนมต่างๆ แต่การตัดมาไม่ใช่ว่าจะใช้ได้เลย ก่อนจะใช้ได้ต้องนำใบตองมาฉีกแบ่งแยกขนาดและทำความสะอาดก่อนนำมาใช้งาน เรื่องกล้วยๆ ที่เราเพิ่งจะมาได้ทราบว่า กล้วยหนึ่งต้นออกผลได้แค่ครั้งเดียวแล้วมันจะตาย นก ช่วงนี้ที่บ้านมีนกหน้าตาแปลกๆ มาเยอะขึ้น ในสมัยย่านั้น เคยมีนกแร้งมาหากินอยู่ที่แถวบ้านด้วย ซึ่งเป็นนกที่ตัวใหญ่ คอยกินซากสิ่งมีชีวิตที่ตาย
ตายแล้ว..จะเที่ยวแล้วหรือนี่... ปลาบู่เดี๋ยวนี้หาแทบจะไม่เจอแล้ว เมื่อก่อนหาได้ง่ายตามรูในคลอง ย่าบอกว่านำปลาบู่มาทำทอดมัน “โคตรอร่อย” เหนียวหนึบ ต้มยำปลาบู่ทองนำมาต้มยำอร่อยมาก ราคาค่อนข้างแพง ในสมัยก่อนนั้นหาอะไรกินค่อนข้างง่าย กุ้ง ก็ถือว่าหาเจอได้งายจนย่าเบื่อที่จะกินในแกง แต่เป็นกุ้งตัวเล็กไม่ได้ใหญ่เหมือนกุ้งแม่น้ำ กุ้งแม่น้ำตัวจะใหญ่และหาไรกินมากกว่า ส่วนมากคนจะไปหากุ้งที่เกาะเกร็ด แถวๆเจดีย์เอียง ก่อนหน้าหนีเจดีย์ เอียงกว่านี้มาก หากไม้ได้ซ่อมป่านนี้คงพังไปแล้ว ยายกล่ำยายที่อยู่เกาะเกร็ดเล่าให้ย่าฟังว่าเห็นมันเอียงตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่ไปไหนแล้ว.. หมดเวลาแล้ว... สมัยที่ย่าไปเหนือ ไปเที่ยวลำปาง ก็เจอรถม้าแต่ยิ่งไปกว่าเจอรถม้าคือการได้เจอเพื่อนที่ชื่อเหมือนกัน ที่เคยขายของที่ตลาดร้านใกล้ๆ กันก่อนที่เขาจะย้ายไปลำปาง ซึ่งการได้เจอกันในครั้งนี้ เป็นเรื่องบังเอิญ ที่เปรียมไปด้วยความคิดถึง เพราะคิดว่าจะได้เกินกันก็ยาก วันนั้นที่ย่าไปเที่ยวลำปาง ได้เข้าไปเที่ยวตลาดพอดี เพื่อนย่า เห็นย่าเดินผ่านมาพอดีเลยวิ่งกระโจนเข้ามาหาด้วยความดีใจ เขาได้ขายขนมลอดช่องเหมือนเดิมที่ขายที่ตลาดกับย่า เขาเคยสอนวิชาการทำลอดช่องสูตรลับให้ย่า ว่ามีขั้นตอนการทำอย่างไร โดยเมนูนี้มีชื่อเรียกว่า ลอดช่องสิงคโปร์ แกงฮกที่เหมือนแกงรวมวัด ที่นำผักทุกๆอย่างมาใส่ และปิดตอนด้วยการเห็นรถม้าที่ลำปาง ที่ดูน่าสงสารเพราะว่าม้าโดนตีดังเฟี้ยบๆ
ช่วงนี้เป็นช่วงปีใหม่พอดี เลยมีคนเข้ามาหาย่าบ่อยๆ วันนี้ก็เช่นกัน มีญาติๆมาหาย่าพอดี ย่าก็เลยได้มานั่งพูดคุยอย่างเพลิน ย่าได้เล่าเรื่องราวการการทำฟัน ที่ทนเจ็บมานานกว่าจะไปยอมรักษา และย่าก็ได้เอาน้ำพริกเผาที่ทำเอวมาแจกให้คนที่คอยแวะเวียนเข้ามาหา และปู่ก็เข้ามาร่วมพูดคุยด้วย
ปีใหม่ในสมัยก่อนนั้นไม่มีกินเลี้ยงแบบนี้ มีแต่การทำไรทำนา ทำสวนช่วงพักจากทำนา หลังจากเกี่ยวข้าว ก็มาปลูกข้าวโพดขาย โดยการปลูกมีทั้งซื้อเมล็ดมาปลูกกับใช้เมล็ดจากการปลูกรอบก่อน แต่จะใช้ของรอบก่อนมากๆ ไม่ได้เพราะจะทำให้ผลผลิตออกมาไม่ดี โดยที่ย่าขายนั้น ไม่ได้เก็บมาแล้วขายเลย ต้องต้มก่อนแล้วจึงค่อยนำไปขาย โดยย่าแบกไปขายที่ตลาด
พริกเผา ในสมัยนั้นหาเกินได้ยาก เพราะไม่มีเงินพอที่จะไปซื้อเครื่องปรุง ส่วนมากจะมีทำพริกแกงเก็บเอาไว้ โดยการตำเอง ทำทีละมากๆ และแบ่งๆให้ญาติๆ กินกัน มีทั้งแกงเผ็ดและแกงส้ม โดยทั้งสองพริกแกงนี้ มีความแตกต่างกันเล็กน้อยของเครื่องแกงที่ไปตำ ของในสมัยย่านั้น หากได้กินหมู หรือเนื้อ ก็ถือว่าดีใจมากแล้ว กว่าจะได้กินก็ต้องรอวันพระที่ เพราะแม่ย่า ต้องแกงไปทำบุญทุกวันพระ และต้องคอยระวัง ไม่ได้ลูกๆ แอบกินก่อนจะถึงมือพระ
...
ไปบ้านย่าทีไร ย่าก็ แนะนำของที่ย่าทำให้อยู่ตลอดๆ ว่าวันนี้มีอะไรให้กินบ้าง ช่วงนี้เป็นช่วงใกล้สิ้นปี เขาว่ากันว่าคนอายุเยอะ จะรู้สึกเวลาผ่านไปไว ยิ่งเยอะมากก็รู้สึกผ่านไปไวมาก ระหว่างการสนทนา ก็มีนกแปลกๆมาเยี่ยม แล้ววันนี้ย่าก็ได้ทำอีก1 เมนูที่อร่อย และหากินยากนั่นก็คือแกงมะตาด ก็เลยได้มาพูดคุยกับย่าว่า กว่าจะมาเป็นแกงมะตาด ผ่านขั้นตอนและวิธีการอะไรบ้าง แกงมะตาด เป็นแกงที่มีเอกลักษณ์ ของตัวมะตาดมาก มีราเปรี๊ยวหวาน ที่ไม่มีผลไม้ไหนเทียบได้
เรื่องก็ลามมาถึงอาหารที่งานศพ ว่าในเมื่อก่อน มีคนทำอาหารให้กินหรือไม่ ซึ่งคนมีอายุแถวๆนี้ ที่เป็นญาติๆย่า ก็เริ่มไม่ค่อยอยู่กันแล้ว
นึกถึงเรื่องราวในอดีต ก็นึกถึงย่าด้วย เรื่องราวต่างๆ ในสมัยก่อน ที่ไม่มีเทคโนโลยีในการจดบันทึกมากนัก ส่วนมากเป็นการบอกปากต่อปากกันมา และรวมถึงเรื่องราว ที่ย่าพาได้พบเจอมา วันนี้ได้มาถามเกียวกับเรื่องราวของ หลวงปู่เอียม ว่ามีประวัติเป็นอย่างไร **หมายเหตุทั้งหมดเป็นเพียงแค่เรื่องเล่าเท่านั้นไม่ได้รับการยืนยันจากใครว่าเป็นเรื่องจริง ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ย่าได้รับมา ผ่านการเวลาจากการจดจำ จนมาเล่าต่อให้หลานๆ ฟัง
ต่อมาก็มาถามถึงเรื่อง หลวงปู่เป้า อดีตเจ้าอาวาส วัดบางพูดใน ซึ่งเป็นพระที่ย่านับถือ
เนื้อทอดสูตรเด็ดของย่าพา ที่กินไปครั้งนึง ก็นึงถึงครั้งถัดไปที่จะได้กิน วันนี้มาสืบสูตร กับย่าพากัน ส่วนเครื่องที่ขาดไม่ได้คือ หอมเจียวที่ผ่านการอบมา ซึ่งแห้งดี ไม่อมน้ำมันเยอะ แถมสะดวก น้ำยำ น้ำยำที่ย่าหารสของย่าเอง ได้ไปทำขายที่ตลาด อยู่บ่อยๆ และแน่นอนขายหมดทุกครั้ง เป็นน้ำยำที่ย่าปรุงเองทุกครั้ง ให้ได้รสที่ได้ดั่งใจ และไม่ใส่สารกันเสีย
ต่อมาก็ เป็นเรื่องหมี กรอบ ของกินเล่นขึ้นชื่อในสมัยโบราณ เหมือนจะทำง่ายๆ แต่ว่าขั้นตอนในการทำก็ไม่ใช่เล่นๆ ที่จะทำให้อร่อยและกรอบ ย่าก็มาเล่าให้ฟังว่าเขาทำกันยังไงจากที่ไปแบบดูแล้วมาปรับปรุงมาเป็นสูตรของตัวเอง
และเรื่องผี ที่ย่าบอกว่าเจอมากับตัว เป็นผีแม่ของย่า กับตอนพ่อย่าที่เจอตอนที่ย่าอยู่ใกล้ๆ ว่าแม่ห่วงลูกคนสุดท้องมากที่สุด จนต้องมาหา
ไก่ย่างที่โคตรอร่อย ขายที่ตลาดปากเกร็ด ที่อาซื้อมาให้หมากิน แต่บาสเอามากินปรระจำ เลยพูดถึงขั้นตอนการทำกับย่าว่าย่าทำเป็นหรือไม่ ลามไปถึงไข่ทอดที่กินอยู่เลยถามว่าย่าทำยังไงตามสูตรย่าพา และก็ถามเรื่องการทำลูกชิ้นปลาในเมนูต่างๆ ในวันนี้ยกตัวอย่างผัดฉ่าลูกชิ้นปลา ว่าทำอย่างไร
ด้วยความอยากรู้เรื่องราว ความเป็นมาของตระกูล เลยได้สอบถามย่า ผู้ที่มีความจำเป็นอย่างดี และคนแถวๆบริเวณบ้าน ก็คือคนดั้งเดิมตั้งแต่ต้นๆ โดยต้นเรื่องตอนนี้ เริ่มต้นที่คุณจาบและสามี ผู้บุกเบิก สกุล นกออก ย่าจึงได้เล่าเรื่อง ความเป็นมาต่างๆ ของคนสมัยนั้น และเรื่องลูกคนสุดท้าย ของแม่ชะอ่อนก่อนจากไป ซึ่งลูกของเขานั้น ยังต้องกินนมแม่อยู่เลย ซึ่งย่าพา เป็นผู้ดูแล น้องของเขาเป็นอย่างดี
ต่อมาก็เล่าเรื่องสมัยเด็กที่ไปเที่ยวงานวัดสมัยเด็ก ที่ต้องเดินผ่านป่าแสนน่ากลัว
แกงเรียง แกงโบราณที่เต็มไปด้วยผักหลากหลายชนิด แต่ต้องมีวันนี้ย่าทำแกงเรียงให้กิน เลยได้สอบถามว่าทำยังไง แล้วเสนอ ให้ใส่ปูในแกง แต่ย่าก็ไม่ยอมเพราะ ไม่ชอบของแพง
พริกเผา ที่ทำเอง ย่าบอกว่ารอบนี้ดี ฟู น้ำไม่เยอะ และหอม และถามถึงขั้นตอนการทำพริกเผา ก่อนที่เราจะนำมาปรุงรสอีกที
ในวันที่ย่าทำแกงพะแนงเนื้อสุดแสนอร่อย ที่ย่าโปรโมทว่าเนื้อรอบนี้ดีมาก จากนั้นจึงถาม ขั้นตอนการทำอย่างไรให้อร่อย และเล่าเรื่องการทำอาหารที่ผ่านรายการทีวีให้ฟัง... และป้ายยากระทิกล่อง ว่ายี่ห้อไหนที่เขาชอบ และเล่าเรื่องสูตร ในการทำขนม ใส้เค็ม ให้ใส่แป้งหอม และระหว่างนั้นย่า ก็ได้ต้มถั่ว เพื่อไปทำขนมใส้เค็ม ... และถามถึงเรื่องที่มาของน้ำมันรำข้าว เพราะคิดว่าย่าอาจจะมีประสบการณ์ จากที่เป็นชาวนา จึงคิดว่า จะมีความรู้เรื่องข้าวเยอะ พะแนงไม่ใส่น้ำเยอะ เดี๋ยวเหลิงเจิ้ง
มะขวิดผลไม้ของโปรดย่า เวลาออกลูกเหมือนต้นไม้ในงานคิดตะมาส ย่าเอาลูกมะขวิดไปขายที่ตลาด ขนมไทยที่ย่าชอบกิน เครื่องหินโม่แป้งสมัยโบราณ วิธีการโม่ข้าว ทำขนมขี้หนู และขนมเปียกปูน
ทำไมต้มแซบไม่ใส่น้ำมะนาวตั้งแต่ต้มเลย เรื่องเล่าจากการเอื้อเฟื้อของแม่ค้าที่ตลาดที่ให้ใช้ไฟฟ้า ไก่บ้านนุ่มๆ จากที่ตลาด อยากกินห่อหมกปูแต่ว่าย่าไม่ยอมทำ เสียดายเงิน ปูมันแพง นอกจากใบยอที่ไว้ใส่ห่อหมกแล้วลูกยอ เอามาทำอะไรบ้าง เรื่องของใบไม้ต่างๆ ที่คนนำมากินเป็นอาหาร